Pages

Sunday, June 28, 2020

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ - สยามกีฬา

miniselebrity.blogspot.com
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ บางทีมันก็เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ เหมือน 'ตู้กดกาแฟ' อันนั้นที่เคยตั้งอยู่ในโรงอาหารของอะคาเดมี่ ลิเวอร์พูล

    ช่วงบ่ายของวันแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล มันเป็นหนึ่งในวันอันหนาวเหน็บ สายลมพัดโชยแรงไปทั่วศูนย์ฝึกอะคาเดมี่ เขาเดินทางมายังที่นี่ซึ่งตั้งอยู่แถว เคิร์คบี้ ที่ไม่ไกลจากสนามซ้อมทีมชุดใหญ่มากนัก

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    หลังถูกจับภาพระหว่างพูดคุยกับ อเล็กซ์ อิงเกิ้ลโธร์ป ผู้อำนวยการศูนย์ฝึก ตรงระเบียงอย่างสบายอารมณ์ เพื่อจัดแจงการทำหน้าที่ในทีมเยาวชน คล็อปป์ ก็เดินกลับเข้าไปในตึกเพื่อกดเอสเพรสโซ่มาดื่มแก้หนาว..

    เขามักจะดื่มกาแฟรสเข้มพันธุ์นี้ทุกวันตอนเช้า และอัดควันบุหรี่เข้าปอดอยู่เป็นประจำ

    อย่างไรก็ตาม ในวันนั้นเขามีปัญหากับการกดสั่งกาแฟจากตู้อิเล็กทรอนิกส์ ใครที่ได้เห็นสีหน้าของ คล็อปป์ จะรู้เลยว่ามีอาการเซ็งจัด และสิ่งที่เขาพูดในเวลาต่อมาก็ตอกย้ำอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

    "เราต้องมีเครื่องกดกาแฟเครื่องใหม่แล้ว!" คล็อปป์ พูดดังลั่นพร้อมเสียงหัวเราะร่าเริงตามนิสัยของตัวเอง

    ความจริง คล็อปป์ ก็ไม่ได้ไป อะคาเดมี่ บ่อยเท่าไหร่ แต่วันแรกที่ไปถึงเขาบอกทุกคนที่นั่นว่าทำงานกันได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามีผู้เล่นบางคนมีพัฒนาการดีจนมีโอกาสขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ เพราะสมัยก่อน ดอร์ทมุนด์ ก็เคยส่งสเกาต์มาดูฟอร์มเยาวชน ลิเวอร์พูล เหมือนกัน

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    ซึ่งนับตั้งแต่ตอนนั้น คล็อปป์ ก็ปล่อยให้ อิงเกิ้ลโธร์ป ทำงานต่าง ๆ ตามที่ต้องการ และครั้งต่อมาที่ไปเยือน อะคาเดมี่ เขาดีใจมาก ๆ ที่ตู้กาแฟอันเก่าไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว "มีคนรับฟังความเห็นของผมด้วย!" เสียงจากปากกุนซือทีมชุดใหญ่พูดออกมาแบบนั้น

    ...

    ในอดีต คล็อปป์ เคยขึ้นพูดบนเวทีต่อหน้าคนนับหมื่น ที่โรงงานผลิตรถยนต์ของ โอเปิล วันนั้นเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องศักยภาพการผลิต คล็อปป์ พูดได้ดีมากจนคนงานตะโกนเรียกชื่อเขาดังสนั่น

    คล็อปป์ มองว่าความประทับใจครั้งแรก(First Impressions) เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เขาคิดเสมอว่ามันคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ทุกอย่างไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม 

    ตอนที่เขาแนะนำตัวกับทีมชุดใหญ่ ณ ห้องประชุม ที่ เมลวู้ด มีการเขียนคำว่า "TERRIBLE" ที่แปลว่า "แย่" เอาไว้บนกระดานวางแผน แถมเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทุกตัวอักษรอีกต่างหาก

    คล็อปป์ อธิบายว่าคำดังกล่าวหมายถึงความรู้สึกที่บรรดาคู่แข่งจะต้องรับรู้ได้เมื่อลงแข่งกับ ลิเวอร์พูล ของตัวเอง เขาทำแบบนั้นเพราะต้องการให้ทีมวิ่งในพื้นที่ที่สูงขึ้น, วิ่งกันเร็วขึ้น และกดดันคู่แข่งได้ทันทีเมื่อทีมเสียการครองบอล

    ซึ่งตั้งแต่นั้นมา ลิเวอร์พูล ก็เล่นงานคู่แข่งได้อย่างดีด้วยการสวนกลับอันรวดเร็ว

    หลังโชว์คำว่า "TERRIBLE" ไปแล้ว คล็อปป์ ก็ให้ทีมงานสตาฟฟ์ทุกคนแนะนำตัวต่อหน้าผู้เล่น และอธิบายบทบาทระหว่างเขากับสโมสรว่าคืออะไร 

    ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเตือนความจำทุกคนที่อยู่ตรงนั้นว่า แต่ละคนก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง บรรดานักเตะโดนสั่งว่าต้องรู้จักชื่อของพนักงานในศูนย์ฝึกให้ได้ พร้อมย้ำเตือนว่าหากไม่ทำตามนี้แล้วล่ะก็ ทีมจะไม่เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นก็จะหมายถึงผลเสียที่จะตามมา เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ว่านี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    ในวันนั้น คล็อปป์ ยังพูดชมนักเตะที่นั่งอยู่ตรงหน้าทุกราย แม้รู้ดีว่าส่วนใหญ่จะยังไม่ได้เล่นด้วยฟอร์มที่ดีที่สุด เพราะผู้เล่นเหล่านั้นยังขาดความมั่นใจ ซึ่งสาเหตุที่เขารู้ถึงเรื่องนี้ดีก็คือ เขาเคยนั่งดูเกมในช่วง 12 เดือนก่อนของ ลิเวอร์พูล เกือบทุกนัด และหลังจากที่เขาได้รับแจ้งว่าจะเป็นผู้จัดการทีมทีมนี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจลดวันหยุด เพื่อการฝึกซ้อมที่เข้มข้นมากขึ้นในชั่วข้ามคืน

    ...

    ในการลงคุมซ้อมช่วงเดือนแรก ๆ ไม่แปลกเลยที่ คล็อปป์ จะไม่ประทับใจกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่นักเตะต้องใช้ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็บอกว่าเนื้อผ้าของเสื้อซ้อมมันดูดซับเหงื่อไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งมันคือปัญหาใหญ่เพราะเขาคาดหวังให้ผู้เล่นปฏิบัติตอนซ้อมได้เหมือนตอนลงเล่นเกมการแข่งขันจริง

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    คล็อปป์ ทำให้ผู้เล่นบางคนเล่นกันอย่างทุ่มเท และเล่นด้วยศักยภาพที่ดีมากขึ้น ทั้งที่ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนที่เขาจะเข้ามา ผู้เล่นกลุ่มนี้เล่นแย่มากถึงขนาดต้องไปลุ้นถึงช่วงดวลจุดโทษกว่าจะเอาชนะ คาร์ไลส์ ยูไนเต็ด ในรอบ 4 ของเกม ลีก คัพ ที่ แอนฟิลด์ 

    ทว่ามันยังมีผู้เล่นบางส่วนไม่ปลื้มกับการซ้อมช่วงเดือนแรก ๆ ของกุนซือคนใหม่ อย่างเช่นพวกจอมเก๋าบางคนที่ซุบซิบนินทากันแบบลับ ๆ และเห็นตรงกันว่ามันซ้ำซากจำเจไปหน่อย

    อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นความประทับใจการฝึกซ้อมก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องสำคัญเท่าไหร่ เพราะ ลิเวอร์พูล มีผลการแข่งขันที่ดีขึ้นมาก โดยช่วง 6 สัปดาห์แรกของ คล็อปป์ เขาพาทีมบุกไปชนะ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นทีมแชมป์และรองแชมป์เก่า ซึ่งก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าแนวทางของ คล็อปป์ กำลังได้ผล

    การซ้อมในรูปแบบของ คล็อปป์ ไม่มีการรีรอหรือผ่อนคลายใด ๆ ทั้งนั้น เขาไม่ปล่อยให้นักเตะซ้อมกันแบบสบาย ๆ หรือปล่อยให้โค้ชคนอื่นลงคุมซ้อมแทน ถึงแม้การทำแบบเรื่องที่ว่าจะสามารถให้เขาถอยออกมาตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้ก็ตาม

    ตั้งแต่วันแรก คล็อปป์ กำหนดแล้วว่าทุกคนต้องทำตามแนวทางที่เขาตั้งเอาไว้ หรือหากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องแยกทางจากกันไปเลย แต่หากทำให้เขาประทับใจขึ้นมาแล้ว คนคนนั้นก็จะได้รับความไว้วางใจจาก คล็อปป์ เป็นที่สุด

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    ตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่เกมแรกของ คล็อปป์ ที่เขานำทีมบุกไปเสมอ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 0-0 เกมนั้น อดัม ลัลลาน่า ได้รับหน้าที่เป็นตัววิ่งไปทั่วบนแผงแดนกลาง หลังจากที่เขาทำให้ คล็อปป์ เกิดความประทับใจมากจากตอนซ้อม เพราะตอนที่ซ้อมนั้น ลัลลาน่า เข้าใจถึงการยืนตำแหน่งได้ดีเยี่ยม แถมยังวิ่งอึดได้ตลอดไม่มีหมด

    อีกคนหนึ่งที่โดดเด่นมากตอนช่วงแรก ๆ ที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมคือ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ อันที่จริง คล็อปป์ รู้ดีอยู่แล้วว่ามีกองหน้าฝีเท้าดีอยู่ในมือ แต่ สเตอร์ริดจ์ กลับเก่งกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    สเตอร์ริดจ์ เป็นเหมือนการผสมผสานกันระหว่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กับ มาริโอ เกิทเซ่ สองลูกทีมเก่าสมัยที่เขาคุม ดอร์ทมุนด์ ที่จริง คล็อปป์ ไม่ใช่คนที่ชอบมานั่งนึกเสียดายอะไร แต่เขาก็หวังเหมือนกันว่าอยากร่วมงานกับ สเตอร์ริดจ์ ในสภาพที่กองหน้ารายนี้ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ มารบกวน

    ในมุมมองของ คล็อปป์ เขาเชื่อว่า สเตอร์ริดจ์ มีดีพอที่จะเป็นหนึ่งในนักเตะประเภทหมายเลข 9 ที่เก่งที่สุดในวงการฟุตบอลยุโรปเลยทีเดียว

    ...

    วันแรกกับการทำงานที่ เมลวู้ด สตาฟฟ์ของ คล็อปป์ ใช้ช่วงเวลาตอนเช้าไปกับการแบ่งสนามซ้อมเป็น 3 ส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกเล่นเกมสวนกลับเร็ว นี่จึงเป็นพื้นฐานของทุกความสำเร็จที่ คล็อปป์ ทำได้กับสโมสร 

    ถึงกระนั้น ผู้เล่นบางคนก็ยอมรับว่าการซ้อมตอนแรก บางอย่างมันดูแปลกใหม่สำหรับพวกเขาจนทำให้เกิดความไม่เข้าใจ 

    พอพวกผู้เล่นมาถึงสนามซ้อม จะเจอกับสภาพที่ว่ามีหุ่นจำลองตั้งเอาไว้ในระยะห่างเท่า ๆ กัน และหุ่นแต่ละตัวเป็นเหมือนการจำลองความกดดันในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเรื่องการกดดันบนพื้นที่สูง(ในแนวรับของคู่แข่ง), พื้นที่กลางสนาม และบนพื้นที่ต่ำ(พื้นที่แนวรับของทีม)

    แทบทุกครั้งที่กำลังจะแข่งแต่ละเกม คล็อปป์ จะกำหนดนักเตะคู่แข่งที่ต้องการให้ลูกทีมไปกดดัน หรือที่เรียกว่า -Pressing Victim- (เหยื่อการกดดัน) ซึ่งคนที่ตกอยู่ในกลุ่มนี้จะเป็นพวกกองหลังหรือกองกลางของฝั่งตรงข้ามที่ครองบอลได้ไม่ดีเท่าไหร่

    แนวคิดนี้คือการทำให้มั่นใจว่าลูกบอลจะตกไปอยู่ที่เท้าของ 'เหยื่อ' แทนที่จะไปอยู่กับผู้เล่นคนอื่นที่มีพรสวรรค์มากกว่า 

    การที่จะให้บอลไปอยู่ที่ 'เหยื่อ' ได้นั้นก็คือการไล่กดดันในพื้นที่ที่เหมาะสม และพอบอลไปอยู่กับ 'เหยื่อ' รายนั้น ผู้เล่น ลิเวอร์พูล ก็จะไปไล่ล่า 'เหยื่อ' เพื่อแย่งบอลกลับมาครอง

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    "ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะฉกบอลมาครองคือทันทีที่ทีมของคุณเสียบอล" คล็อปป์ สอนกับลูกทีมเสมอในเรื่องนี้

    "ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่คู่แข่งจะยังเข้าใจว่าบอลมันเป็นของเขาแน่ และตัดสินใจว่าจะจ่ายไปทางไหนดี"

    "พอเขาเสียบอล เขาก็จะละสายตาไปจากเกมเพื่อพยายามเข้าสกัดหรือแย่งบอลกลับไป ซึ่งมันจะทำให้เขาต้องเสียพลังงานเพิ่มขึ้น มันจะทำให้เขาหมดสภาพได้ง่าย ๆ"

    ...

    ช่วงเดือนแรก ๆ ที่ คล็อปป์ เข้ามาที่นี่ เขามักสั่งให้ทีมหยุดซ้อมกลางคันอยู่บ่อย ๆ เพื่อย้ำกับลูกทีมว่าอยากให้พวกเขาทำอะไร

    คล็อปป์ เองก็รู้ว่าแท็กติกที่ดีจะช่วยให้คู่แข่งเสี่ยงเล่นพลาดมากขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งก็หมายความว่าทีมของตัวเองก็เสี่ยงที่จะเล่นพลาดมากได้เหมือนกัน

    ดังนั้นจึงต้องมีความจำเป็นที่ต้องปิดที่ว่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหากเกิดมีผู้เล่นสัก 3-4 คนหลุดตำแหน่งของตัวเองเพื่อไปไล่ประกบคู่แข่ง แน่นอนว่าพวกเขาก็จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อปิดมุมต่าง ๆ และนั่นก็จะทำให้พื้นที่อื่น ๆ ของ ลิเวอร์พูล โดนเล่นงานได้ง่ายตามไปด้วย

    ซึ่งความผิดพลาดเกิดขึ้นในเกมที่ ลิเวอร์พูล ออกไปเยือน วัตฟอร์ด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 2015 ลูกทีมของเขาลงเล่นด้วยแนวทางที่ผิดเพี้ยนจนเป็นฝ่ายพ่ายกลับออกไปถึง 0-3 

    มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในคืนก่อนวันฉลองคริสต์มาส ซึ่งตามโปรแกรม นักเตะ ลิเวอร์พูล ก็มีนัดกันไปรวมตัวที่ กอล์ฟ คลับ ฟอร์มบี้ ฮอลล์ เพื่อปาร์ตี้ตอนหลังจบเกม

    ตอนแรกเหล่านักเตะ ลิเวอร์พูล คิดว่างานปาร์ตี้ต้องถูกยกเลิกแน่นอนเนื่องจากผลการแข่งขันที่ออกมา แต่ทันทีที่เดินทางกลับถึง เมอร์ซี่ย์ไซด์ คล็อปป์ ผู้เป็นเจ้านายกลับส่งข้อความไปหาทุกคน ในเชิงที่ทำให้พวกเขาเกิดอาการประหลาดใจ

    "ไม่ว่าเราจะทำอะไรบางอย่างร่วมกันแล้ว เราก็จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในคืนนี้กิจกรรมที่เราจะทำด้วยกันก็คือการไปปาร์ตี้กัน"

    และปาร์ตี้ในคืนนั้น ก็มีการตั้งกฎว่า ห้ามมีใครออกจากงานปาร์ตี้จนกว่าจะตี 1

    มันเป็นหนึ่งค่ำคืนที่ทุกคนต่างนอนกันไม่หลับแม้เวลาจะพ้นเลยเที่ยงคืน ทั้งที่พวกเขาเพิ่งพ่ายแพ้มาไม่นาน

    ...
    
    ซีซั่นแรกของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล จบลงที่เมือง บาเซิล ฟอร์มยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งหลังของคู่แข่งอย่าง เซบีย่า ทำให้ ลิเวอร์พูล แพ้ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก 1-3

    บรรยากาศในโรงแรมโนโวเทลที่เมืองบาเซิล เต็มไปด้วยความหดหู่ กระทั่ง คล็อปป์ เองก็ยังสับสนกับความพ่ายแพ้แบบหมดสภาพของ ลิเวอร์พูล

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    คล็อปป์ ยอมรับว่า เซบีย่า ดีกว่าในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องความแข็งแกร่ง, ความฟิต และระบบทีม เขาโทษตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้ในใจลึก ๆ ว่านี่ยังไม่ใช่ทีมตามแบบฉบับที่เขาต้องการ แค่มาถึงรอบชิงฯ ได้ก็ถือเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมายแล้ว

    แม้จะจบลงด้วยมือเปล่า แต่ฤดูกาลแรกของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง สาเหตุก็เพราะเขาทำทีมได้แบบไม่ต้องกลัวอะไรมากนัก แทบไม่มีความคาดหวังใด ๆ ซึ่งหลายคนก็เข้าใจดีว่าการสร้างทีมขึ้นมาใหม่มันต้องใช้เวลา

    จริงอยู่ว่าเรื่องน่าผิดหวังก็มีอยู่บ้าง การได้แค่อันดับ 8 ซึ่งถือว่าเป็นการทาบสถิติอันดับแย่ที่สุดในรอบ 20 ปีจะดูแย่ก็จริง แต่ความรู้สึกที่ว่าทีมมีการพัฒนาขึ้นมาก็สามารถจับต้องได้เมื่อเทียบกับตอนที่ ลิเวอร์พูล หล่นไปถึงอันดับ 10 ตอนที่ คล็อปป์ เข้ามารับงาน

    ความพ่ายแพ้ต่อ แมนฯ ซิตี้ ช่วงดวลจุดโทษในเกม ลีก คัพ นัดชิงฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่พูดได้ว่าทีมมีการพัฒนา ซึ่งมันก็เป็นความพ่ายแพ้ที่ คล็อปป์ ทำใจยอมรับได้ง่ายกว่าเกมที่แพ้ เซบีย่า หากมองในเรื่องที่ แมนฯ ซิตี้ มีผู้เล่นฝีเท้าดีอยู่เต็มทีม 

    และสิ่งที่เกิดขึ้นที่ บาเซิล คอยย้ำเตือนว่างานของเขาที่ แอนฟิลด์ มันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แถมความพ่ายแพ้ต่อ เซบีย่า ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้เข้าร่วมเล่นรายการยุโรปในฤดูกาล 2016/17 อีกต่างหาก

    หลังความผิดหวังวันนั้น คล็อปป์ คว้าไมโครโฟนแล้วพูดกับนักเตะว่าเขาภูมิใจในตัวลูกทีมทุกคน เขาย้ำว่าที่จริงน่ะ ไม่มีใครคิดหรอกว่า ลิเวอร์พูล จะมีโอกาสได้แชมป์เลยด้วยซ้ำ

    "2 ชั่วโมงก่อนหน้านี้เราทุกคนรู้สึกแย่มาก ๆ " คล็อปป์ ยอมรับอย่างนั้นหลังจบเกมนัดชิงฯ ยูโรปา ลีก

    อย่างไรก็ดี มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นบางอย่างของสิ่งที่กำลังจะตามมา เขาบอกทุกคนว่า ลิเวอร์พูล จะได้เล่นนัดชิงชนะเลิศอีกแน่ ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย อีกทั้งยังบอกกับผู้เล่นทุกคนว่าให้จำความรู้สึกนี้เอาไว้ พร้อมกับใช้ความผิดหวังเป็นแรงผลักดันให้ไปได้ไกลขึ้นในครั้งหน้า

    เขาบอกลูกทีมว่าเขาภูมิใจมาก ๆ ที่ทุกคนเชื่อฟังและน้อมรับไอเดียของเขาเป็นอย่างดี จนถึงขั้นที่บอกว่าตัวเองคงไม่สามารถรู้สึกภูมิใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว และเชื่อว่ามันจะไม่ใช่ฤดูกาลที่เปล่าประโยชน์แน่นอน

    อีกด้านหนึ่ง คล็อปป์ ก็อยากให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล เชื่อมั่นในทีมอีกครั้ง เขาเชื่อว่าหากทำให้แฟนบอลบนอัฒจันทร์มีอารมณ์ร่วมได้แล้วล่ะก็ ทฤษฎีที่บอกว่าแฟนบอลเป็นเหมือนผู้เล่นคนที่ 12 ก็จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง

    แต่อย่างว่า การจะให้เป็นแบบนั้นได้ ในขั้นแรกเขาก็เจอกับความจริงที่แสนน่าเจ็บปวดมาก่อน...

    ย้อนกลับไปนัดที่สองที่ คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล ลงเล่นใน แอนฟิลด์ เจอกับ คริสตัล พาเลซ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    หลังจากทีมเยือนยิงขึ้นนำ 2-1 ช่วงท้ายเกม เขาเห็นว่าแฟนบอลบางคนเริ่มทยอยเดินออกจากสนามทั้งที่ยังเหลือเวลาอีก 8 นาที 

    "มันทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ๆ " คล็อปป์ ยอมรับถึงความรู้สึกในค่ำคืนนั้น

    แต่นั่นแหละมันช่วยอธิบายได้เป็นอย่างดีกว่าทำไมอีก 1 เดือนให้หลัง เขาถึงฉลองอย่างสุดเหวี่ยงต่อหน้า เดอะ ค็อป ทั้งที่ทีมตามตีเสมอทีมระดับกลาง ๆ อย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    เกมนั้นประตูตีเสมอของ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 และแฟนบอลก็อยู่กับทีมกันจนสิ้นเสียงนกหวีดการแข่งขัน

    แล้วช่วงท้ายฤดูกาลอารมณ์สุดขีดแบบนั้นก็กลับมาอีกครั้ง...

    ชัยชนะเหนือ โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ 4-3 ในศึก ยูโรปา ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 2 นัด 5-4 

    มันคือการคัมแบ็กอันยอดเยี่ยม เพราะขณะที่เหลือเวลาอีกแค่ 25 นาที ลิเวอร์พูล ตามหลังอยู่ 1-3 แต่เหล่าแฟนบอลที่ยังไม่หมดศรัทธาต่างปลุกเร้าอารมณ์จนเป็นส่วนสำคัญทำให้ทีมกลับมาเอาชนะได้อย่างเหลือเชื่อ

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ

    "เหล่า เดอะ ค็อป สร้างช่วงครึ่งชั่วโมงที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอในวงการฟุตบอลขึ้นมา" คล็อปป์ ว่าอย่างนั้น ก่อนจะเตือนความจำกับลูกทีมตอนอยู่เมือง บาเซิล ว่า "เรามากันไกลมาก ๆ "

    นั่นคือช่วงที่ คล็อปป์ เริ่มตะโกนว่า “We are Liverpool” จากนั้นทุกคนในห้องก็ส่งเสียงร้องประโยคดังกล่าวตามเจ้านายของพวกเขา...

HOSSALONSO

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
เพิ่มเพื่อน

Let's block ads! (Why?)



"เล็ก" - Google News
June 28, 2020 at 02:58PM
https://ift.tt/2BOYSvz

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็กๆ - สยามกีฬา
"เล็ก" - Google News
https://ift.tt/3eDvcQu
Home To Blog

No comments:

Post a Comment